หลายคนที่เคยดื่ม “นมมะม่วงหิมพานต์เผา” มักจะประทับใจกับกลิ่นหอมละมุนที่แตกต่างจากนมถั่วทั่วไป
กลิ่นนั้นไม่ใช่แค่หอมแบบถั่วคั่วธรรมดา แต่มีความลึก หอมไหม้อ่อน ๆ คล้ายกลิ่นคาราเมลหรือขนมปังอบใหม่ ๆ
แล้วกลิ่นหอมนี้เกิดจากอะไร? มาดูกันค่ะ
กลิ่นหอมของ “นมมะม่วงหิมพานต์เผา” เกิดจาก ปฏิกิริยาเมลลาร์ด (Maillard Reaction) เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นเมื่อ โปรตีนและน้ำตาลธรรมชาติในเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถูกให้ความร้อนในระดับที่พอเหมาะ (ราว 120–160°C)
เมื่อโปรตีนและน้ำตาลทำปฏิกิริยากัน จะเกิด “สารประกอบกลิ่น” จำนวนมากกว่า 800 ชนิด! ซึ่งให้กลิ่นหอมคล้ายคาราเมล ถั่วคั่ว และขนมปังอบ กลิ่นนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของนมมะม่วงหิมพานต์เผา
“แม่เฒ่าเอียด” ใช้กรรมวิธีเผาแบบโบราณ คือการใช้ไฟอ่อนต่อเนื่องจนเม็ดมะม่วงหอมทั่วถึง ไม่ไหม้ จุดเด่นของวิธีนี้คือ กลิ่นหอมจะลึกแต่ไม่ขม แตกต่างจากการคั่วด้วยเครื่องที่มักให้กลิ่นเผาแรงแต่ขาดความนุ่มนวล
ผลลัพธ์คือกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ซึมอยู่ในทุกหยดของนม ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมือนได้ดื่มความทรงจำของครัวไทยในวันเก่า ๆ
นอกจากกลิ่นแล้ว การเผายังช่วย “เปลี่ยนโครงสร้างสารอาหาร” ให้ย่อยง่ายขึ้นด้วย
นี่จึงเป็นเหตุผลที่นมมะม่วงหิมพานต์เผาไม่ได้แค่ “อร่อยหอม” แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้นอีกด้วย
“ความหอมของนมไม่ได้มาจากไฟแรง แต่มาจากความอดทนของคนเผา”
แม่เฒ่าเอียดจะคั่วเม็ดมะม่วงด้วยไฟอ่อนจนได้กลิ่นหอมละมุน ก่อนนำไปแช่น้ำแล้วปั่นเป็นนม เคล็ดลับคือ ไม่เร่งเวลา เพราะกลิ่นเผาที่สมบูรณ์ต้องใช้ไฟและใจที่พอดี
เมื่อได้ดื่มนมมะม่วงหิมพานต์เผา คุณจะสัมผัสได้ถึง
และนั่นคือเสน่ห์ของ “นมเผา” ที่ไม่ได้มีดีแค่กลิ่น แต่เป็นเรื่องราวของความใส่ใจที่สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
สรุปสั้น ๆ:
กลิ่นหอมของนมมะม่วงหิมพานต์เผามาจาก ปฏิกิริยาเมลลาร์ด
ที่เกิดขึ้นจากการเผาด้วยไฟอ่อน ทำให้เกิดกลิ่นถั่วคั่วธรรมชาติ
และเมื่อผสานเข้ากับกรรมวิธีแบบโบราณของแม่เฒ่าเอียด
จึงได้ออกมาเป็น “นมมะม่วงหิมพานต์เผา” ที่หอมละมุนไม่เหมือนใคร