กินถั่วแล้วผิวปัง! จริงหรือแค่กระแส? | แม่เฒ่าเอียด

กินถั่วแล้วผิวปัง! จริงหรือแค่กระแส?

สมูทตี้ดี…แต่อิ่มไม่พอ?
มิถุนายน 4, 2025
Mood กับ Food ต้องแมตช์กันถึงจะปัง
มิถุนายน 5, 2025

กินถั่วแล้วผิวปัง!

ในยุคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ Self-care และ Wellness มากขึ้น “ผิวดี” จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเครื่องสำอางหรือสกินแคร์อีกต่อไป แต่คือผลลัพธ์ของ การดูแลจากภายใน โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่สัมพันธ์โดยตรงกับสุขภาพผิว

ในหมวดของ Superfoods สำหรับผิว ถั่วและเมล็ดธัญพืชถูกพูดถึงบ่อยมาก ไม่ใช่แค่เพราะมีไขมันดี แต่เพราะเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ส่งตรงไปถึงผิวจริงๆ โดยเฉพาะ วิตามิน E, ไบโอติน และ Zinc (ซิงก์) ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างยอดเยี่ยม

วันนี้เราจะพามาเจาะลึกว่า “กินถั่วแล้วผิวปัง” นั้นเป็นเรื่องจริงแค่ไหน และควรกินถั่วชนิดไหนให้ผิวปังแบบ Gen Z ตัวแม่!

กินถั่วแล้วผิวปัง!


3 ถั่วเด็ด ที่สายสกินแคร์ควรมีในชีวิต

1. อัลมอนด์ (Almond)

“ราชินีแห่งความสวยจากธรรมชาติ”

อัลมอนด์คือถั่วที่ขึ้นชื่อที่สุดเรื่องการบำรุงผิว เพราะมี วิตามิน E สูงมาก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ช่วยชะลอวัย ปกป้องผิวจากการทำลายของรังสี UV และมลภาวะ อีกทั้งยังให้ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ที่ช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรง

ประโยชน์ผิวจากอัลมอนด์

  • ลดริ้วรอยก่อนวัย

  • ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น

  • ลดการอักเสบของผิว

  • ป้องกันการเกิดสิวจากอนุมูลอิสระ

👉 Tip: กินอัลมอนด์อบ (ไม่เค็ม) วันละ 10–15 เม็ด เท่ากับได้วิตามิน E เกือบครึ่งของที่ควรได้รับต่อวัน!


2. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ (Cashew Nut)

“ถั่วนุ่ม เคี้ยวมัน ที่ให้มากกว่าความอร่อย”

เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมไปด้วย ไบโอติน (Biotin) ซึ่งเป็นวิตามินกลุ่ม B ที่ช่วยสร้างเซลล์ผิว ผม และเล็บใหม่อย่างมีคุณภาพ คนที่มีปัญหาผิวแห้ง ผมร่วง หรือเล็บเปราะ มักขาดไบโอตินโดยไม่รู้ตัว

นอกจากนี้ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ยังมี ทองแดง (Copper) ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้นด้วย

ประโยชน์ผิวจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์

  • บำรุงผิว ผม เล็บ จากภายใน

  • ป้องกันผิวแห้ง ลอก

  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

  • ลดความหมองคล้ำของผิวหน้า

👉 Tip: กินเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ (ไม่เค็ม) วันละ 10–12 เม็ด เป็นขนมช่วงบ่ายแทนของหวานได้เลย


3. เมล็ดฟักทอง (Pumpkin Seed)

“ธัญพืชสายแซ่บ ที่ให้ผิวสวยแบบสายลุย”

เมล็ดฟักทองมี ซิงก์ (Zinc) สูง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมเซลล์ผิว ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดสิว เหมาะกับคนที่มีผิวมันหรือเป็นสิวง่าย รวมถึงคนที่ใช้ชีวิตกลางแจ้ง หรือเผชิญความเครียดเป็นประจำ

ประโยชน์ผิวจากเมล็ดฟักทอง

  • ลดการเกิดสิวจากฮอร์โมน

  • ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่โดนทำร้าย

  • สมานผิวที่เป็นแผลเร็วขึ้น

  • ป้องกันผิวจากการติดเชื้อเล็กน้อย

👉 Tip: โรยเมล็ดฟักทองลงบนโยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต หรือสลัด ช่วยให้มื้อเบาๆ มีพลังงานและดีต่อผิว


ทำไมถั่วถึงช่วยเรื่องผิวได้จริง?

เพราะผิวต้องการ “วัตถุดิบดีๆ” มาซ่อมแซมและสร้างใหม่ทุกวัน ไม่ต่างจากการสร้างกล้ามเนื้อ! ถั่วและเมล็ดธัญพืชให้ทั้ง:

  • ไขมันดี → บำรุงผิวให้นุ่มและชุ่มชื้น

  • โปรตีนจากพืช → สร้างผิวใหม่ให้แข็งแรง

  • สารต้านอนุมูลอิสระ → ป้องกันผิวเสื่อมจากแดดและฝุ่น

  • แร่ธาตุสำคัญ → ฟื้นฟูผิวลึกถึงเซลล์

และข้อดีอีกอย่างคือ “ย่อยง่าย พกง่าย กินสะดวก” เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของ Gen Z ที่ไม่มีเวลามาก แต่อยากสวยแบบยั่งยืน


รวมเมนูถั่วสายสกินแคร์ ที่ทำง่าย กินเพลิน

  1. โยเกิร์ตถ้วยผิวใส

    • โยเกิร์ต low-fat + อัลมอนด์ + เมล็ดฟักทอง + แครนเบอร์รี่อบแห้ง

    • กินเป็นมื้อเช้าหรือขนมว่างช่วงบ่าย

  2. สมูทตี้ผิวปัง

    • กล้วย + นมอัลมอนด์ + เม็ดมะม่วงหิมพานต์ + ผงโกโก้

    • ปั่นรวมแล้วเพิ่มเมล็ดเจียด้านบน

  3. โอ๊ตบอลบำรุงผิว

    • ข้าวโอ๊ต + เนยอัลมอนด์ + น้ำผึ้ง + อัลมอนด์บด

    • ปั้นเป็นลูกเล็กๆ แช่เย็นไว้กินเล่นได้หลายวัน


กินถั่วให้สวย แต่ต้องระวังอะไร?

แม้ถั่วจะดีต่อผิว แต่ก็ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะถั่วมีไขมันและพลังงานสูง

เคล็ดลับ:

  • เลือกถั่วอบ/ถั่วดิบ แทนถั่วทอด

  • หลีกเลี่ยงถั่วเค็ม เพราะโซเดียมทำให้ผิวบวมน้ำ

  • กินวันละ 1 กำมือเล็กๆ (ประมาณ 20–30 กรัม) ก็พอ


สรุป: ผิวใสในแบบ Gen Z เริ่มได้จากถั่ว!

หากคุณอยากผิวปังแบบไม่ต้องง้อคลินิกแพงๆ ลองหันมากิน “ถั่วเพื่อผิว” อย่างอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และเมล็ดฟักทองในชีวิตประจำวัน เพราะธรรมชาติให้สารอาหารดีๆ ที่ช่วยบำรุงผิวได้อย่างตรงจุด แถมกินง่าย เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสวยแบบ sustainable