งาเป็นธัญพืชที่มนุษย์ใช้บริโภคมานานหลายพันปี โดยเฉพาะ งาขาว และ งาดำ ซึ่งเป็นที่นิยมในหลายวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นอาหารเอเชียหรือตะวันออกกลาง แม้จะดูเล็กจิ๋ว แต่กลับมีสารอาหารที่น่าทึ่ง:
แคลเซียม สูงกว่านมในปริมาณต่อกรัม
แมกนีเซียม และ ธาตุเหล็ก เสริมภูมิคุ้มกัน
ใยอาหาร ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด
ไขมันดี (Omega-6, 9) ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล
สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เซซามิน (Sesamin) และ เซซาโมลิน (Sesamolin) ที่ช่วยชะลอวัย
งาขาว-งาดำ: ธัญพืชเล็กๆ แต่พลังล้น!
งาเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าสูง แต่หากบริโภคแบบผิดวิธี คุณค่าที่ได้อาจน้อยกว่าที่ควร
ไม่จำเป็นต้องกินงาแบบโรยข้าวเสมอไป ลองนำไปดัดแปลงเป็นเมนูสนุกๆ ที่ยังคงคุณค่าและกินง่าย
น้ำเต้างาบด : น้ำเต้าหู้แบบโฮมเมด ใส่ผงงาดำบดละเอียด ผสมความหอมมัน พร้อมแคลเซียมเต็มๆ
สมูทตี้กล้วย-งาดำ : กล้วยหอมปั่นกับนมสดหรือนมพืช เติมผงงาดำ 1 ช้อนโต๊ะ = ทั้งอิ่มและบำรุงสมอง
ข้าวต้มงา : ข้าวต้มร้อนๆ โรยงาขาวคั่ว ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและใยอาหาร เหมาะสำหรับมื้อเช้าเบาๆ
ซอสงาญี่ปุ่น (Goma sauce) : ทำจากงาขาวบด ซีอิ๊ว น้ำมันงา เหมาะสำหรับจิ้มผักลวกหรือน้ำสลัด
ขนมแท่งงาธัญพืช : ผสมงาคั่วกับข้าวโอ๊ต น้ำผึ้ง อบเป็นแท่งพลังงานสำหรับของว่างระหว่างวัน
แม้งาจะดีต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ลองดูว่าใครบ้างที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ผู้ที่ต้องการแคลเซียมแต่ไม่กินนม
วีแกน, แพ้นมวัว, ผู้สูงอายุ → งาเป็นแหล่งแคลเซียมชั้นดี
งาดำมีแคลเซียมสูงกว่างาขาวในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน
คนวัยทองและวัยหมดประจำเดือน
เซซามินในงาช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดอาการร้อนวูบวาบ
ลดการอักเสบและช่วยป้องกันกระดูกพรุน
คนที่ใส่ใจสุขภาพผิว ผม เล็บ
ไขมันดี + สารต้านอนุมูลอิสระในงา บำรุงผิวจากภายใน
เสริมสร้างเส้นผมให้แข็งแรง ลดผมร่วง
ผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
งาช่วยให้อิ่มนาน เพราะมีใยอาหารและโปรตีนสูง
ทานเป็นของว่างแทนขนมหวานได้ดี
ข้อควรระวัง
คนที่มีอาการแพ้งา → ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อน
งามีแคลอรี่สูง หากควบคุมแคลอรี่ ควรกินในปริมาณพอเหมาะ
งาขาวงาดำไม่ใช่แค่เครื่องโรยอาหาร แต่คือ “แหล่งพลังงานทางโภชนาการ” ที่ควรถูกบรรจุไว้ในมื้ออาหารของทุกคน ไม่ว่าจะเพื่อเสริมแคลเซียม บำรุงสมอง หรือดูแลสุขภาพผิว
เคล็ดลับสำคัญคือ: “บดก่อนกิน / คั่วพอหอม / กินวันละ 1–2 ช้อนโต๊ะ” ก็เพียงพอที่จะให้คุณได้รับประโยชน์จากงาแบบเต็มเมล็ดแล้ว